รู้จักวิธี ‘รักษาหลุมสิว’ แก้ไขผิวหน้าให้เรียบเนียน

หลุมสิว

‘หลุมสิว’ เป็นปัญหาใหญ่ที่ใคร ๆ ก็หวาดหวั่น เพราะหากใบหน้ามีหลุมสิวปรากฏขึ้นเมื่อไหร่ การแต่งหน้าก็จะกลายเป็นงานช้างเลยทีเดียว เมื่อผิวหน้าไม่เรียบเนียนจะทำให้เกิดปัญหาในการลงรองพื้นและเมคอัพต่าง ๆ ได้แถมการแต่งหน้ากลบหลุมสิวก็เป็นเรื่องที่ยากอีกด้วย ตอนนี้หลาย ๆ คนคงมีคำถามกันแล้วว่า การรักษาหลุมสิวนั้นยากไหม? หลุมสิวสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่? แล้ววิธีการรักษามีอะไรบ้างนะ?

หากใครกำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่… บอกเลยว่าไม่ต้องกังวลไปเพราะทาง ‘Romrawin Clinic’ เราเชี่ยวชาญด้านการรักษาหลุมสิว

วันนี้เราจะมาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับเรื่อง ‘หลุมสิว’ กันว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร แบ่งได้กี่ประเภท รวมถึงวิธีการรักษาหลุมสิว หากพร้อมแล้วเราไปดูกันเลย!

รู้จักกับ ‘รอยหลุมสิว’ ก่อนหาวิธีรักษา ?

หลุมสิว (Atrophic Scar) คือรอยแผลที่ลึกและเป็นหลุมใต้ชั้นผิวหนัง เกิดจากการรักษาแผลที่ไม่ถูกวิธี จึงทำให้เนื้อเยื่อในชั้นผิวถูกทำลายและไม่สามารถกลับมาสมานกันได้ ยิ่งแผลนั้นสูญเสียคอลลาเจนมากเท่าไหร่ รอยก็จะยิ่งมีความเสียหายมากเท่านั้น

หลุมสิวมักเกิดจากรอยแผลเวลาที่เราเป็นสิวหรืออีสุกอีใส และอาจเกิดขึ้นหลังจากการทำเลเซอร์เช่น การกำจัดไฝ ได้เช่นกัน

‘หลุมสิว’ สามารถแบ่งได้ 3 ประเภท ดังนี้

  1. หลุมสิวแบบ Rolling Scar

เป็นรอยหลุมสิวแบบตื้นเป็นแอ่งเว้าลงไป โดยปากหลุมจะกว้าง ไม่มีขอบที่ชัดเจนและมีลักษณะโค้งคล้ายกับคลื่น ส่วนใหญ่เกิดจากการแกะสิวที่มีหัวไม่ลึกมาก มักเกิดขึ้นบริเวณแก้ม

หลุมสิวประเภทนี้ถือเป็น ‘ระดับที่รุนแรงน้อยที่สุด’ การรักษาจะง่ายกว่าระดับอื่น ๆ สามารถรักษาได้โดยการทำทรีตเมนต์ควบคู่กับการทายา

  1. หลุมสิวแบบ Box Scar

เป็นรอยหลุมสิวแบบปากกว้างและพื้นกว้างเรียบ โดยขอบจะมีลักษณะเป็นเหลี่ยม ๆ ชัดเจน หลุมจะมีความลึกแค่ประมาณชั้นผิว ไม่ลึกลงไปถึงชั้นรูขุมขน ส่วนมากเกิดจากแผลอีสุกอีใส

หลุมสิวประเภทนี้ถือเป็น ‘ระดับที่รุนแรงปานกลาง’ สามารถรักษาได้โดยการฉีดฟิลเลอร์และทำทรีตเมนต์

  1. หลุมสิวแบบ Ice Pick Scar

เป็นรอยหลุมสิวที่มีขนาดเล็กและแคบ โดยปากของหลุมจะมีความกว้างและค่อย ๆ แคบลึกเข้าไปในชั้นผิว อาจลึกลงไปถึงชั้นรูขุมขน เปรียบเป็นรูปตัว ‘V’ มักเกิดจากการบีบสิวและการกดสิวอย่างไม่ถูกวิธี

หลุมสิวประเภทนี้ถือเป็น ‘ระดับที่รุนแรงที่สุด’ การรักษาเป็นไปได้ยากกว่าแบบอื่น ๆ เพราะต้องใช้วิธีการฟื้นฟูผิวเป็นเวลานานกว่ารอยลึกนั้นจะตื้นขึ้นมาเรียบเสมอชั้นผิวปกติ

รักษาหลุมสิว

‘การรักษาหลุมสิว’ มีวิธีอะไรบ้าง?

รอยหลุมสิวนั้นสามารถรักษาให้หายขาดได้ ปกติแล้วการรักษาหลุมสิวจะขึ้นอยู่กับประเภทของหลุมสิว และระยะเวลาในการรักษาก็ขึ้นอยู่กับสภาพหลุมสิวและผิวของแต่ละคนเช่นกัน

1.การผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peels)

การผลัดเซลล์ผิวเป็นกระบวนการนำสารเคมีมาช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไปเร็วขึ้นและกระตุ้นให้ชั้นผิวผลิตคอลลาเจนและสร้างชั้นผิวขึ้นมาใหม่ เพื่อช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้นและเรียบเนียน

โดยการรักษาจะต้องปรึกษาแพทย์เพื่อให้แพทย์ช่วยตรวจสภาพผิวและเลือกสารเคมีที่เหมาะกับการผิวหน้าของเรามากที่สุด เช่น แพทย์อาจเลือกใช้กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) ซึ่งเป็นกรดผลไม้ชนิดหนึ่ง ในการรักษาผู้ที่มีผิวบอบบาง

วิธีการรักษานี้สามารถใช้รักษารอยหลุมสิวได้ทุกประเภท โดยเฉพาะหลุมสิวแบบ Rolling Scar

ทั้งนี้การผลัดเซลล์ผิวมีข้อจำกัดคือ อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการรักษาและมีผลทำให้ผิวหน้าบางลงได้ ซึ่งหากใครเลือกวิธีนี้ต้องหมั่นดูแลและทาครีมบำรุงผิวหน้าแข็งแรงด้วย

2.การฉีดฟิลเลอร์ (Fillers)

การฉีดฟิลเลอร์เป็นการฉีดสารลงที่ใต้ชั้นผิว เพื่อทำให้หลุมสิวตื้นขึ้นและเรียบเนียนเทียบเท่าชั้นผิวปกติ ส่วนมากแพทย์จะเลือกใช้ ‘กรดไฮยาลูรอนิค’ (Hyaluronic Acid) ซึ่งเป็นสารสำคัญที่มีคุณสมบัติช่วยกักเก็บโมเลกุลของน้ำกับคอลลาเจนไว้ในชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื่นและดูอิ่มน้ำ ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์สามารถให้ผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็วและมีความเสี่ยงต่ำมากที่จะก่อให้เกิดอาการแพ้

วิธีการรักษานี้จะเหมาะสำหรับรักษาหลุมสิวได้ทุกประเภท โดยเฉพาะหลุมสิวแบบ Rolling Scar และ Box Scar

แต่การฉีดฟิลเลอร์ก็มีข้อจำกัดคือ อาจไม่ให้ผลลัพธ์แบบถาวรและทำให้ผู้รับการฉีดอาจต้องกลับมาฉีดซ้ำอีก เนื่องจากตัวฟิลเลอร์นั้นสามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม แม้ฟิลเลอร์จะค่อย ๆ เริ่มสลายตัว รอยหลุมสิวจะไม่ได้กลับไปลึกเหมือนในตอนแรก รอยหลุมจะยังคงตื้นอยู่ แค่เพียงไม่ได้เรียบเนียนเหมือนตอนที่เพิ่งฉีดนั่นเอง

3.การเย็บหลุมสิว (Punch Excision)

การเย็บหลุมสิวเป็นการตัดเนื้อเยื่อในหลุมสิวออกเพื่อทำการเย็บปิดรอยให้ติดกัน เปรียบเหมือนการผ่าตัดขนาดเล็ก แพทย์จะใช้ไหมขนาดเล็กเย็บปิดหลุมสิว ภายในเวลาไม่เกินหนึ่งสัปดาห์จึงจะตัดไหมออกได้ หลังจากนั้นรอยหลุมก็จะหายไป ใบหน้าจะเรียบเนียน แพทย์จะใช้วิธีนี้ต่อเมื่อหลุมสิวนั้น ๆ ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ

วิธีการรักษานี้สามารถใช้รักษารอยหลุมสิวประเภท Ice Pick Scar และ Box Scar (ที่มีขนาดไม่เกิน 3 มิลลิเมตร)

การเย็บหลุมสิวมีข้อจำกัดคือ ในกรณีที่เป็นแผลลึกรุนแรง แพทย์อาจใช้การตัดเนื้อเยื่อบริเวณหลังใบหูเพื่อนำมาเติมหลุมสิวให้เต็ม และอาจส่งผลให้สีผิวไม่สม่ำเสมอ

4.การเลเซอร์ (Laser)

การเลเซอร์รอยหลุมสิวเป็นการใช้คลื่นแสงพลังงานยิงเข้าเซลล์ผิว เพื่อให้ชั้นผิวกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทน ทำให้ชั้นผิวฟู แน่น กระชับ และเรียบเนียนขึ้น

หากใครสนใจใช้วิธีนี้เลเซอร์ เราแนะนำให้เลือกการรักษาด้วย ‘Pico second Laser’ ซึ่งเป็นการใช้คลื่นแสงพลังงานความถี่สั้นยิงเข้าไปเพื่อกระตุ้นให้ชั้นผิวสร้างอีลาสตินและคอลลาเจนใหม่ขึ้นมา ถือเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพดีและให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหลังทำ แถมชั้นผิวจะยังคงความแข็งแรง ไม่แห้งหรือบางลงอีกด้วย

ทั้งนี้ไม่ว่าใครจะเลือกวิธีการรักษาแบบไหน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะกับสภาพหลุมสิวและผิวของตนเองมากที่สุด

สุดท้ายนี้สำหรับใครที่กำลังเผชิญปัญหากับรอยหลุมสิวอยู่ เราขอแนะนำว่า ‘อย่ารอช้า’ เพราะยิ่งเรารักษาเร็วเท่าไหร่ เราก็จะได้เผยผิวหน้าที่สวยเรียบเนียนได้เร็วเท่านั้น!